968.53K

อ.เกรียงศักดิ ์ โพยมร ัตน์ สาขานิ ตศ ิ าสตร ์

1.

อ.เกรียงศักดิ ์
โพยมร ัตน์
สาขานิ ตศ
ิ าสตร ์
คณะร ัฐศาสตร ์
มหาวิทยาลัยนอร ์

2.


ภาค 1 บททัวไป
ภาค 2 วิธพ
ี จ
ิ ารณาใน
้ั น
ศาลชนต้

3.

คูค
่ วาม
คูค
่ วามร่วม
ทนายความ
ผูร้ ับมอบฉันทะ
คาฟ้ อง

4.

คู ค
่ วาม
ร่วม

5.

่ บค
คดีมข
ี ้อพิพาททีมี
ุ คลหลายคน
ถูกโต ้แย ้งสิทธิ
หรือหน้าที่ หรือกรณี ทบุ
ี่ คคลหลาย
คนเป็ นผู ้โต ้แย ้ง
่ บุคคล
่ บค
ุ คลอืน
สิทธิหรือหน้าทีแก่
ดังกล่าวอาจ

6.

บุคคลหลายคนจะต ้องมีผลประโยชน์รว่ มกันใน
มูลความ
แห่งคดี แม้จะไม่มผ
ี ลประโยชน์รว่ มกันในผลแห่ง
คดีก็ตาม
้ แบ่
่ งแยกกันชาระไม่ได ้
แต่ถ ้าเป็ นการชาระหนี ที
ถือว่าบุคคล
เหล่านั้นมีผลประโยชน์รว่ มกันในมูลความแห่งคดี
เสมอ
การเป็ นโจทก ์ร่วมหรือจาเลยร่วมกัน จะต ้องฟ้ อง

7.

จาเลยคนเดียวหรือหลายคนกระทาละเมิด
โจทก ์คนเดียว
หรือหลายคน
เจ ้าของรวมหลายคน
้ วมหลายคน
ลูกหนี ร่

ผูก
้ ู ้กับผูค้ าประกั

ผูเ้ อาประกันภัยกับผูร้ ับประกันภัย
นายจ ้างลูกจ ้าง ฯลฯ

8.

กรณี ทมู
ี่ ลความแห่งคดีเป็ นการชาระ
้ งแบ่
่ งแยก
หนี ซึ
จากกันได ้
่ นและ
คูค
่ วามเหล่านั้นย่อมไม่แทนซึงกั
กัน การกระทา
ของคูค
่ วามร่วมคนใดหรือต่อคูค
่ วามร่วม
คนใดย่อมเป็ น

1.

9.

2.1 กระบวนพิจารณา (ดูมาตรา 1(7) “กระบวน
พิจารณา” )
่ ้ทาโดยหรือทาต่อคูค
ซึงได
่ วามร่วมคนหนึ่ ง ถือว่า
ได ้ทาโดยหรือทา
่ ๆ ด ้วย เว ้นแต่กระบวน
ต่อคูค
่ วามร่วมคนอืน
่ ค
พิจารณาทีคู
่ วามร่วม
่ อมเสี

คนหนึ่ งกระทาไปนั้นเป็ นทีเสื
ยแก่คค
ู่ วาม
่ ๆ ย่อมไม่มผ
ร่วมคนอืน
ี ลถึงคูค
่ วามร่วมคน
่ ๆ ด ้วย
อืน

10.

่ อว่ากระบวนพิจารณาทีกระท

ตัวอย่าง ทีถื
าไป
่ อมเสี

นั้น เป็ นทีเสื

่ ๆ
แก่คค
ู่ วามร่วมคนอืน
คาพิพากษาฎีกา 382/2506 คาให ้การ
ของจาเลยที่ 1 ที่
ยอมร ับผิดตามฟ้ อง ย่อมไม่ผูกพันจาเลยที่ 2
ด ้วย
คาพิพากษาฎีกา 1713-1714/2523
คูค
่ วามบางคนตกลงท ้า
่ ไม่
่ ได ้ตกลงด ้วย
กัน ก็ไม่ผูกพันคูค
่ วามคนอืนที

11.

่ อว่ากระบวนพิจารณาทีกระท

ตัวอย่าง ทีถื
าไป
่ อม

นั้น ไม่เป็ นทีเสื
่ ๆ
เสียแก่คค
ู่ วามร่วมคนอืน
คาพิพากษาฎีกา 5264/2549 จาเลยทัง้
สองเป็ นลูกหนี ร่้ วม
จาเลยที่ 1 ให ้การต่อสู ้ว่าฟ้ องเคลือบคลุม ย่อม
ถือว่าจาเลยที่ 2 ซึง่
่ าให ้การหรือยืนค
่ าให ้การแต่ไม่ได ้
ขาดนัดยืนค

ให ้การต่อสู ้เรืองฟ้
องเคลือบคลุมด ้วย กรณี
้ อว่าคาให ้การของจาเลยที่ 1 มีผลไปถึง
เช่นนี ถื
่ อมเสี

จาเลยที่ 2 ด ้วย เพราะไม่เป็ นทีเสื
ยแก่

12.

ข้อพิจารณา : ให้ดูวา
่ เป็ นการชาระ
้ งแบ่

หนี ซึ
งแยกจากก ัน
ได้หรือเป็ นกรณี ทแบ่
ี่ งแยกจากก ันไม่ได้
เพราะมีผลต่างกัน
้ งแบ่

กรณี เป็ นการชาระหนี ซึ
งแยก
จากกันได้ (ดู ป.พ.พ. มาตรา 295)
่ กหนี ร่
้ วมถู กฟ้องเป็ น
หลัก : การทีลู
้ วมคนหนึ่ ง
จาเลยร่วมก ัน ถ้าลู กหนี ร่
้ อสู ้ ไม่ถอ
ยกอายุความขึนต่
ื ว่าลู กหนี ้

13.

คาพิพากษาฎีกา 4715/2530 จาเลยที่ 1 ไม่ได ้
ให ้การต่อสู ้

่ ้การต่อสู ้ไว ้ ก็เป็ นเรือง

เรืองอายุ
ความไว ้ แม ้จาเลยอืนให
เฉพาะตัวของ
จาเลยเหล่านั้น หาทาให ้จาเลยที่ 1 ได ้ร ับประโยชน์ใน

เรืองอายุ
ความ

้ ้างใน
ด ้วยไม่ จาเลยที่ 1 จึงไม่อาจยกเรืองอายุ
ความขึนอ
้ั กาได ้
ชนฎี
คาพิพากษาฎีกา 480/2506 จาเลยหลายคนเป็ น
ลูกหนี ร่้ วมกัน
ต่อโจทก ์ แต่จาเลยคนหนึ่ งแต่ผู ้เดียวเป็ นผู ้ยกอายุ

14.

้ งแบ่
่ งแยกจากกันไม่ได ้
กรณี เป็ นการชาระหนี ซึ
้ วมถู กฟ้องเป็ น
หลัก : ในกรณี ทลู
ี่ กหนี ร่
้ น

จาเลยร่วมกัน และหนี นั
้ งแบ่

เป็ นการชาระหนี ซึ
งแยกจากกันไม่ได้
่ กหนี ร่
้ วมคนหนึ่ งยกอายุความขึน

การทีลู
้ วมคนอืนที
่ ไม่
่ ได้
ต่อสู ้ ย่อมถือว่าลู กหนี ร่

้ วม
ให้การถึงเรืองอายุ
ความ รวมถึงลู กหนี ร่
่ าให้การได้ร ับประโยชน์ใน

ดยืนค
ทีขาดนั

้ วย (ถือว่าเป็ นเหตุใน
เรืองอายุ
ความนันด้
ลักษณะคดี)
(ดู ป.วิ.แพ่ง มาตรา
245(1) และมาตรา 247 )

15.

คาพิพากษาฎีกา 351/2510 โจทก ์ฟ้อง
ให้จาเลยร่วมกันส่ง
มอบช้างคืน มู ลความแห่งคดีเป็ นการ
้ งแบ่

ชาระหนี ซึ
งแยกจากกัน
่ าเลยคนหนึ่ งยืนค
่ าให้การ
ไม่ได้ การทีจ

ต่อสู เ้ รืองอายุ
ความ ถือว่า
่ นและกัน จาเลยอืนจึ
่ ง
จาเลยทาแทนซึงกั
ได้ร ับผลแห่งอายุความด้วย

16.

คาพิพากษาฎีกา 914/2538 จาเลย

้ วม มู ล
ทังสองเป็
นลู กหนี ร่
้ งแบ่

ความแห่งคดีเป็ นการชาระหนี ซึ
งแยก
่ าเลยที่ 2 ยกอายุ
จากกันไม่ได้ การทีจ
้ อสู ้ ให้ถอ
ความขึนต่
ื ว่าจาเลยที่ 1 ได้ยก
้ อสู แ

อายุความขึนต่
้ ล้วเช่นกัน เมือปรากฏ
่ าเลยที่
ว่าคดีโจทก ์ขาดอายุความตามทีจ
2 ฎีกาแม้จาเลยที่ 1 มิได้ฎก
ี า ศาลฎีกา
ย่อมมีอานาจพิพากษาให้มผ
ี ลถึงจาเลยที่
1 ได้ดว้ ย ตาม ป.วิ. แพ่ง มาตรา 245(1) ,
247

17.

ทนายความ
ผู ้ร ับมอบอานาจ
ผูร้ ับมอบฉันทะ

18.

19.

คู ค
่ วามจะ
ดาเนิ นคดีเอง
โดยไม่ตง้ั
ทนายความได้หรือไม่

20.

มาตรา 60

21.


้น ต ้องทาเป็ น
มาตรา 61 การตังทนายความนั
่ วความและทนายความ
หนังสือลงลายมือชือตั
่ อศาลเพือรวมไว

แล ้วยืนต่
้ในสานวน ใบแต่ง
้ ้ใช ้ได ้เฉพาะคดีเรืองหนึ

่ ง ๆ ตามทีได
่ ้
ทนายนี ให
่ ้เท่านั้น เมือทนายความผู

ยืนไว
ใ้ ดได ้ร ับมอบ


่ วา่ ในคดีใด ๆ
อานาจทัวไปที
จะแทนบุ
คคลอืนไม่

ให ้ทนายความผูน้ ้ันแสดงใบมอบอานาจทัวไป
่ อศาลแทนใบแต่งทนาย เพือ่
แล ้วคัดสาเนายืนต่
่ ๆ ไปตามความในมาตรานี ้
ดาเนิ นคดีเป็ นเรือง

22.

1. ในแต่ละคดีไม่จาเป็ นต้องมี
ทนายความก็ได้ หากตัว
ความสามารถความรู ้ความสามารถที่
จะดาเนิ นคดีได้ดว้ ย
ตนเอง
2. ในกรณี ทต
ี่ ัวความประสงค ์จะตง้ั
ทนายความ ต้องทา
่ าหนด
ใบแต่งทนายตามแบบพิมพ ์ทีก

23.


3. ผูร้ ับมอบอานาจให ้ฟ้ องคดี สามารถลงชือในใบ
แต่งทนายความได ้ ไม่ถอื ว่าเป็ นการมอบอานาจช่วง
(ฎีกา 247/2550)
4. ในกรณี ผรู ้ ับมอบอานาจมีอาชีพเป็ น
ทนายความอยู่แล ้ว จะทาใบแต่งทนายความตัง้
ตนเองเป็ นทนายความในคดีก็ได ้ (ฎีกา
4929/2549)
5. ใบแต่งทนายความให ้ใช ้ได ้เฉพาะคดีใดคดีหนึ่ ง
เท่านั้น และให ้ใช ้ได ้เฉพาะสาหร ับคูค
่ วามและ
ทนายความคนหนึ่ งเท่านั้น กรณี คค
ู่ วามหลายตนตัง้
ทนายความคนเดียวกันต ้องแยกทาใบแต่งทนายคน
ละใบ

24.

62
ดู ป.วิ.แพ่ง มาตรา

25.

1. ทนายความมีอานาจว่าความและดาเนิ น
กระบวนพิจารณาใด ๆ ในศาลแทนต ัวความ
่ นสมควรเพือร
่ ักษาประโยชน์ของตวั
ตามทีเห็

ความ แต่ถา้ เป็ นเรืองเล็
กน้อยจะมอบฉันทะให้
ผู อ
้ นท
ื่ าแทนตนก็ได้ (ฎีกา 321/2503
(ประชุมใหญ่)
2. ทนายความไม่ใช่ต ัวความ ทนายความจึง
้ อ
เป็ นทนาย
้ นให้
ื่
แต่งตังผู
้ั
ความไม่ได้จะต้องให้ต ัวความแต่งตงทนายความ
่ วมกับตนหรือแยกกัน
อีกคนหนึ่งให้ทาหน้าทีร่

26.


3. ทนายความมีอานาจลงลายมือชือใน
คาคู ค
่ วาม คาร ้อง คาขอ
หรือคาแถลง
4. การแถลงร ับข้อเท็จจริงในศาล
ทนายความย่อมมีอานาจ
กระทาได้และผู กพันต ัวความ
5. การส่งคาคู ค
่ วามหรือเอกสาร จะส่งไป
ยังทนายความก็ได้
6. ในคดีทจ
ี่ าเลยฟ้องแย้งโจทก ์ ทนาย
โจทก ์ย่อมมีอานาจ

27.

่ ร ับแต่งตงจากต
้ั
7 . ทนายความทีได้
ัวความ
ย่อมมีอานาจดาเนิ นคดีใน
้ั งค ับคดีโดยไม่ตอ
ชนบั
้ งทาใบแต่งทนายความ
ใหม่อก
ี (ฎีกา 272/2533)
8. ทนายความจะดาเนิ นกระบวนพิจารณาไป
ในทางจาหน่ ายสิทธิของ
ตัวความไม่ได้ ใน 6 กรณี เว้นแต่ ในใบแต่ง
ทนายความจะระบุให้มอ
ี านาจ คือ
่ ค
- การยอมร ับตามทีคู
่ วามอีกฝ่ายหนึ่ง
เรียกร ้อง
- การถอนฟ้อง
- การประนี ประนอมยอมความ
- การสละสิทธิ

28.

ดู ป.วิ.แพ่ง มาตรา
65

29.


1. ตามมาตรา 65 เป็ นกรณี ททนายความที
ี่

ได ้ร ับแต่งตังประสงค
์ถอนตนเองจากการเป็ น
ทนายความในคดีน้ัน
2. ในกรณี ทตั
ี่ วความประสงค ์จะถอน
ทนายความ ใช ้หลักกฎหมายตัวการตัวแทน


ทัวไป
เพราะการตังทนายความถื
อว่าเป็ นการ
้ วแทนอย่างหนึ่ ง (ฎีกา789/2550)
ตังตั
3. ทนายความจะถอนตัวได ้จะต ้องได ้ร ับ
่ าขอให ้ศาลมี
อนุ ญาตจากศาล จึงต ้องยืนค
่ ญาต การทีศาลจะมี


คาสังอนุ
คาสังอนุ
ญาตได ้

30.


4. ในกรณี ททนายความยื
ี่
นขอถอนต
ัวโดยที่
ตัวความไม่ทราบ ศาลจะ
อนุ ญาตให้ทนายความถอนต ัวไม่ได้ จึงต้องถือ
ว่าทนายความยังคงมีฐานะ
ทนายความอยู ่ ต้องว่าความหรือดาเนิ นกระบวน
พิจารณาต่อไป (ฎีกา
3901/2532)

5. ศาลจะอนุ ญาตให้ถอนต ัวได้ตอ
่ เมือกรณี
มี
เหตุผลอ ันสมควร ถ้าไม่มเี หตุอ ันสมควรศาลมี
อานาจใช้ดล
ุ พินิจไม่ให้ถอนตัวก็ได้ เช่น
ทนายความมีเจตนาประวิงคดี (ฎีกา

31.

6. ทนายความเป็ นตัวแทนของตัวความ ถ้า
ตัวความถึงแก่ความ
ตายสัญญาตัวแทนย่อมระงับไป แต่
ทนายความยังคงมีอานาจและ
่ ดการดาเนิ นคดีเพือปกปั

หน้าทีจั
กร ักษา
ประโยชน์ของตัวความต่อไป
ได้จนกว่าทายาทของตวั ความจะเข้ามาปกปั ก
ร ักษาประโยชน์ของตัว
ความตาม ป.พ.พ. มาตรา 828 กรณี ตวั ความ
้ั น
ตายหลังจากศาลชนต้
มีคาพิพากษา ทนายความย่อมมีอานาจลง

32.

คาฟ้ อง

33.

่ นคดีมค
คาฟ้องเริมต้
ี วามสาคัญอย่างมาก
เพราะจะเป็ นฐานและ

กาหนดขอบเขตทีจะใช้
ในการดาเนิ น
่ ด
กระบวนพิจารณาต่อไปจนคดีถงึ ทีสุ
เนื่ องจากคาฟ้องเป็ นการเสนอข้อหาซึง่
่ นสาระสาคัญตามที่
ประกอบด้วยส่วนทีเป็
บัญญัตไิ ว้ตามมาตรา 172

34.


ข้อเท็จจริงทีโจทก
์กล่าวมาในฟ้องและ
จาเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธ

หรือปฏิเสธไม่ช ัดแจ้ง ถือว่าข้อเท็จจริงนัน
จาเลยได้ยอมร ับแล้ว
จึงฟั งเป็ นยุตต
ิ าม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84

คาให้การของจาเลยทีจะยกเป็
นข้อต่อสู ้
จะต้องเป็ นการยอมร ับ
หรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก ์ตามคาฟ้อง
จะให้การนอกกรอบ

35.


การขอแก้ไขเพิมเติ
มฟ้องจะทาได้
่ ยวข้

เฉพาะทีเกี
องกับฟ้องเดิม


พอทีจะรวมพิ
จารณาและชีขาดเข้

ด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา180 จะ

เพิมเติ
มประเด็นนอกเหนื อจากฟ้องเดิม
ไม่ได้

ในการชีสองสถาน
ศาลจะต้องนาคาฟ้อง
มาเปรียบเทียบกับคาให้
การและกาหนดเป็ นประเด็นข้อพิพาท
ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 182
ศาลจะต้องพิจารณาพิพากษาคดีตาม

36.

ในกรณี ทจ
ี่ าเลยจะฟ้องแย้งโจทก ์
ฟ้อง

แย้งจะต้องเกียวข้
องกับ

ฟ้องเดิมพอทีจะรวมการพิ
จารณาและชี ้
ขาดเข้าด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา
177 วรรคสาม , 179 วรรคท้าย
่ ยกขึนว่
้ ากล่าวในคาฟ้องแล้ว
ข้อทีได้

โจทก ์หรือจาเลยย่อมยกขึน
อุทธรณ์หรือฎีกาได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง
มาตรา 225 และ 249 เว้นแต่จะ
เป็ นปั ญหาข้อกฎหมาย ตาม ป.วิ.แพ่ง

37.

คาฟ้องเป็ นคาคู ค
่ วามตามมาตรา 1 (3)
้ รู ปแบบของคาฟ้อง
ดังนัน
จึงต้องปฏิบต
ั ใิ ห้เป็ นไปตาม ป.วิ.แพ่ง ภาค

1 หมวด 5 เรือง
รายงานและสานวนความ ตามมาตรา 46

38.

การเสนอข้อหาเป็ นคดีมข
ี อ
้ พิพาท ป.วิ
แพ่ง มาตรา 172 บังคับว่าจะต้องทาเป็ น
หนังสือ

ดังนันโจทก
์จะต้องแสดงหรือกล่าวถึง
รายละเอียดโดยบรรยายฟ้องตาม
บทบัญญัตก
ิ ฎหมายสารบัญญัตถ
ิ งึ เหตุทมี
ี่
่ องนาคดีมา
การโต้แย้งสิทธิของโจทก ์ ทีต้

ฟ้องต่อศาลเพือขอให้
ศาลบังคับจาเลย
ถ้าฟ้องของโจทก ์สมบู รณ์แล้ว
ข้อเท็จจริงจะร ับฟั งได้ตามคาฟ้องหรือไม่

39.

ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก

1.ส่วนต้น เป็ นรายละเอียดทีแสดงถึ

ตัวโจทก ์และจาเลย

2.ส่วนกลาง เป็ นใจความทีแสดงถึ

สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอ ัน
อาศ ัยเป็ นหลักแห่งข้อหา

3.ส่วนท้าย เป็ นคาขอบังคับทีจะขอให้
ศาลมีคาพิพากษาบังคับจาเลย ผู ้

40.

ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55 กาหนดว่า
โจทก ์และจาเลยต้องเป็ น

บุคคล ซึงอาจเป็
นบุคคลธรรมดา หรือ
นิ ตบ
ิ ุคคล รวมทัง้

ตาแหน่ งตามหน้าทีราชการก็
เป็ น
โจทก ์หรือจาเลยได้

41.

ป.วิ.แพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
กาหนดว่า คาฟ้องต้อง

แสดงโดยช ัดแจ้งซึงสภาพแห่
งข้อหา
ข้ออ้างอันอาศ ัยเป็ น
่ จะต้องบรรยาย
หลักแห่งข้อหา ซึงก็
ฟ้องให้ช ัดแจ้งพอ (ไม่

เคลือบคลุม) ทีจะให้
จาเลยเข้าใจว่า

ถู กฟ้องเรืองอะไรจะได้
แก้ขอ
้ หาได้อย่างถู กต้อง เป็ นการเปิ ด

42.

การบรรยายฟ้องคดีแพ่งเป็ นการ
กล่าวถึงข้อเท็จจริง จึงไม่
จาเป็ นต้องใช้ถอ
้ ยคาในกฎหมาย ทัง้
ไม่ตอ
้ งระบุกฎหมายที่


เกียวข้
อง หรือทีขอให้
บงั ค ับเหมือน
อย่างคดีอาญา (ฎีกา


7767/2543) เพราะเป็ นเรืองที
ศาลรู
้ได้
เอง

43.

กฎหมายต่างประเทศ
ถือว่าเป็ น

ข ้อเท็จจริงทีจะต
้องกล่าวมาในคา
ฟ้ อง (ฎีกา 447/2540)

44.


เป็ นส่วนทีโจทก
์แสดงให้เห็นถึงสิทธิ

หน้าทีตามกฎหมาย


แพ่งทีโจทก
์มีอยู ่อ ันเป็ นฐานทีจะ
กล่าวอ้างว่าจาเลยได้กระทาการ
่ นอย่

โต้แย้งสิทธิหรือหน้าทีนั
างไร
เช่น
คาพิพากษาฎีกา 347/2521
ฟ้องขอให้เปิ ดทางภาระ

45.

คาพิพากษาฎีกา 53/2530 ฟ้องเรียกค่า
นายหน้า
สภาพแห่งข้อหาคือ ต้องระบุวา
่ ตนเป็ นผู ช
้ ี้
ช่องอย่างไร

สาเร็จกีราย
คาพิพากษาฎีกา 2525/2545 ผู ท
้ รงเช็ค
ฟ้องให้ผู ้
่ ายร ับผิดตามเช็ค สภาพแห่งข้อหา
สังจ่
่ ั ายเป็ นผู ล

คือ ผู ส
้ งจ่
้ งลายมือชือในเช็


คาพิพากษาฎีกา 596/2531 ผู ค
้ าประก
ัน
้ ยก
ฟ้องไล่เบียเรี

46.

คาพิพากษาฎีกา 821/2515
(ประชุมใหญ่)
อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา
โจทก ์จึงไม่จาต้อง
กล่าวในฟ้องว่าคดีโจทก ์ไม่ขาด
อายุความเพราะเหตุใด
แม้ตามข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า

47.


เป็ นส่วนทีแสดงถึ
งการกระทาที่
เป็ นมู ลให้จาเลยต้อง
ร ับผิดหรือเป็ นการโต้แย้งสิทธิหรือ

หน้าทีตามกฎหมาย
แพ่ง

ซึงจะต้
องสอดคล้องกันกับสภาพ
แห่งข้อหา เช่น
้ ชาระหนี หรื
้ อชาระหนี ไม่

ลู กหนี ไม่

48.


เป็ นส่วนทีแสดงความประสงค
์ของ

โจทก ์ทีจะขอให

่ นส่วน
ศาลพิพากษาบังคับจาเลย ซึงเป็
่ ความสาคัญทีจะขาดไม่

ทีมี
ได ้ เพราะ

การฟ้ องคดีมข
ี ้อพิพาทจะต ้องเป็ นเรือง


ทีศาลจะต
้องวินิจฉัยชีขาดข
้อพิพาท
โดยมีคาพิพากษา

49.

คาขอบังคับจะต้องคานึ งด้วยว่าสภาพแห่ง
้ ดช่องให้ขอ
หนี เปิ
บังคับกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิ ชย ์ มาตรา 213
หรือไม่


คาขอบังคับจะต้องเป็ นเรืองที
โจทก
์ขอให้
บังคับจาเลย จะมีคา
ขอบังคับแก่บุคคลภายนอก หรือมี
ผลกระทบต่อบุคคลภายนอก

50.

กรณี ทฟ
ี่ ้ องจาเลยหลายคนเป็ น
จาเลย อาจขอบังคับให้จาเลยทุก
้ โจทก ์ หรือ
คนร่วมกันชาระหนี ให้
แต่ละคนร ับผิดไม่เท่ากัน หรือ
แตกต่างกัน หรือแยกกันร ับผิดก็
ได้
โจทก ์ต้องมีคาขอบังคับได้เพียง
่ ทธิของตนมีอยู ่ตาม
เท่าทีสิ
กฎหมาย หากมีคาขอเกินสิทธิท ี่

51.

ผู ร
้ ับมอบอานาจให้ฟ้องคดีลงลายมือ
่ นโจทก ์ได้ และมีอานาจ
ชือเป็
เรียงคาฟ้องได้ดว้ ย ถ้าเรียงคาฟ้อง
่ นผู ้
เองก็สามารถลงลายมือชือเป็
เรียงได้ (ฎีกา 2947/2516 (ประชุม
ใหญ่))

ทนายความมีอานาจลงลายมือชือ
เป็ นโจทก ์ได้ โดยไม่
ต้องมีใบมอบอานาจให้ฟ้องคดี

52.

คาฟ้องนอกจากจะต้องมีขอ
้ ความ
ครบถ้วนทุกส่วนตาม ป.
วิ.แพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง คือสภาพ
แห่งข้อหาของโจทก ์
ข้ออ้างอ ันอาศ ัยเป็ นหลักแห่งข้อหา
และคาขอบังคับแล้ว ใน
่ ัด
การบรรยายฟ้องจะต้องมีขอ
้ ความทีช

แจ้งเพียงพอทีจะให้

53.

คาว่า
“ ฟ้องเคลือบคลุม” ไม่มบ
ี ญ
ั ญัต ิ
ไว้ในกฎหมาย แต่
่ กกฎหมายใช้เรียกก ัน
เป็ นภาษาทีนั
่ ช ัดแจ้ง
หมายถึง ฟ้องทีไม่

พอทีจะให้
เข้าใจได้
ฟ้องเคลือบคลุม เป็ นปั ญหาข้อ
กฎหมายแต่ไม่ใช่ขอ
้ กฎหมาย

ับความสงบเรียบร ้อยของ
เกียวก

54.


หลักเกณฑ ์ทีจะพิ
จารณาว่าเป็ นฟ้อง
เคลือบคลุมหรือไม่
ต้องพิจารณาจากคาบรรยายฟ้องของโจทก ์
เป็ นหลัก โดยไม่
ต้องพิจารณาว่าจาเลยจะหลงข้อต่อสู ห
้ รือไม่
เพราะคาฟ้อง

เคลือบคลุมหรือไม่ ไม่เกียวกั
บคาให้การ
แม้จาเลยจะให้การ
ร ับตามฟ้อง ก็ไม่ทาให้ฟ้องเคลือบคลุมเป็ น

55.

(1) คาฟ้องไม่แจ้งช ัดว่าโจทก ์มีอานาจฟ้อง
จาเลยโดยอาศ ัยสิทธิใด เช่น
- ฟ้องเรียกค่าเสียหายในมู ลละเมิด แต่ไม่ได้

บรรยายฟ้องว่าโจทก ์เกียวข้
องหรือมี
ความสัมพันธ ์กับผู ต
้ ายอย่างไร อ ันจะมีผลทา
ให้โจทก ์เป็ นผู ม
้ ส
ี ท
ิ ธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย
(ฎ.2874/2550)
- ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู ร
้ ับประกันภัย แต่

ไม่ได้บรรยายฟ้องเชือมโยงไปว่
าผู ใ้ ดเป็ นผู เ้ อา
ประก ันภัย (กรณี ผูก
้ ระทาละเมิดไม่ใช่ผูเ้ อา
่ ่

56.


เนื อหาค
าฟ้องไม่สมบู รณ์
่ ได้
้ ไม่
- การร ับสภาพหนี ที
บรรยายความเป็ นมาแห่งมู ลหนี ้
เดิม (ฎ.8059/2556) (ถ้าโจทก ์
้ มมาให้ช ัด
ไม่ได้บรรยายหนี เดิ
แจ้ง ย่อมเป็ นฟ้องเคลือบคลุม)
(2)

57.

(3)
ข้อเท็จจริงไม่แจ้งช ัด
- ไม่ได้บรรยายว่าจาเลยกระทาโดยจงใจ
หรือประมาทเลินเล่ออย่างไร และกระทา
ผิดต่อกฎหมายประการใด
(ฎ.5779/2539)

- ฟ้องผู ค
้ าประกั
น หากบรรยายฟ้องระบุ
้ นต้นและหนี ดอกเบี


หนี เงิ
ยตามสั
ญญากู ้ 2
ฉบับ รวมกันมาและเอกสารท้ายฟ้องก็

ไม่ได้แยกหนี ตามสั
ญญากู แ
้ ต่ละฉบับออก

58.


(4) เนื อหาขั
ดแย้งกัน (สภาพแห่งข้อหากับ

ข้ออ้างทีอาศ
ัยเป็ นหลักแห่งข้อหาขัดแย้งกัน
หรือขัดแย้งกับคาขอบังคับ)
เช่น
- สภาพแห่งข้อหาขัดแย้งกัน เช่น กล่าวอ้าง
ว่าเป็ นพินย
ั กรรมปลอมเพราะผู ต
้ ายไม่ได้ทา

่ ใช่ของผู ต
ขึนและลายมื
อชือไม่
้ าย แต่หากศาล


้ ายจริง
ฟั งได้วา
่ เป็ นลายมือชือของผู
้ ไม่สมบู รณ์ = ฟั งได้ 2 นัยคือ
พินย
ั กรรมนันก็
พินย
ั กรรมปลอม หรือ พินย
ั กรรมไม่สมบู รณ์

59.

(5) บรรยายฟ้องไม่เป็ นไปตามกฎหมายสารบัญญัต ิ
- คดีเช็ค ต้องบรรยายว่าโจทก ์ร ับเช็คอย่างไร และ
เป็ นผู ท
้ รงโดยชอบด้วยกฎหมายอย่างไร แล้วจาเลย
่ ั ายต้องร ับผิด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ตอ
เป็ นผู ส
้ งจ่
้ ง

่ าระหนี ใดแก่
่ ายเพือช
โจทก ์
บรรยายว่าจาเลยสังจ่
้ั จารณา
เพราะสามารถนาสืบได้ในชนพิ
่ น แบ่งแยกแล้วขนาดเนื อที
้ จะ

- คดีฟ้องแบ่งแยกทีดิ
่ า
กว้างเท่าใดไม่ตอ
้ งกล่าว เพราะเป็ นรายละเอียดทีน
้ั จารณา
สืบได้ในชนพิ


- ฟ้องเรียกผู ค
้ าประก
ันให้ร ับผิดตามสัญญาคาประก


้ หนี ้


ั จะต้องร ับผิดในหนี ใด
ต้องบรรยายว่าผู ค
้ าประก
่ ค

อะไร จานวนเท่าใด เหตุใดทีผู
้ าประก
ันต้องร ับผิด

- ฟ้องเรืองทางสาธารณะ
ทางภารจายอม หรือทาง

60.

1. ฟ้องเคลือบคลุมไม่เป็ นปั ญหาข้อกฎหมาย

เกียวกับความสงบเรี
ยบร ้อยของประชาชน
้ นิจฉัยเองไม่ได้
ศาลยกขึนวิ
้ าเลยต้องยกข้อต่อสู ไ้ ว้ใน
เพราะฉะนันจ
คาให้การว่าฟ้องโจทก ์เคลือบคุลมอย่างไร

หากจาเลยไม่ยกข้อต่อสู ้ จะยกประเด็นเรือง
ฟ้องเคลือบคลุมไปอุทธรณ์/ฎีกาไม่ได้
่ วา
่ กล่าวกันมาแล้ว
เพราะไม่ได้เป็ นข้อทีได้
้ั นและไม่เป็ นปั ญหาข้อ
โดยชอบในศาลชนต้

กฎหมายเกียวกับความสงบเรี
ยบร ้อยของ


61.

2. หากศาลยกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุม
โจทก ์ก็ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็ นฟ้องซา้ และศาลจะ
่ ั นค่าฤชาธรรมเนี ยมแก่โจทก ์
ไม่สงคื

3. คาฟ้องทีเคลื
อบคลุมจนศาลไม่สามารถ
บังคับให้ได้เลย เป็ นปั ญหาข้อกฎหมายที่

เกียวกับความสงบเรี
ยบร ้อยของประชาชน
้ นิจฉัยเองได้ เช่น ผู ร้ ้อง
ศาลมีอานาจยกขึนวิ
้ ดิ
่ นมาจาก ส แสดงว่า
บรรยายคาร ้องว่า ซือที
่ นเอง ไม่ใช่ทดิ
ผู ร้ ้องเป็ นเจ้าของทีดิ
ี่ นของผู อ
้ น
ื่
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แต่คาขอบังคับ ผู ้
่ าทีดิ
่ นพิพาทเป็ น
ร ้องขอให้ศาลมีคาสังว่

62.

เวลาและ
สถานที่
บุคคล
ทร ัพย ์สิน
เอกสาร
สัญญา
การกระทา
ความเสียหาย

63.

คาฟ้องเป็ น “คาคู ค
่ วาม” ตาม


มาตรา 1(5) เมือโจทก
์ยืน
ฟ้องแล้ว ศาลจะใช้อานาจตาม ป.วิ.
แพ่ง มาตรา 18 และ
มาตรา 172 วรรคสาม ตรวจดู คาฟ้อง
ว่าจะร ับไว้พจ
ิ ารณาได้
่ ยกว่า “ ชนตรวจฟ
้ั
หรือหรือไม่ ซึงเรี
้ อง

64.

1.
การตรวจความเรียบร ้อย (ดู มาตรา
46 , 76)

การตรวจเอกสารตามทีกฎหมาย
ต้องการ (ดู มาตรา 56 , 61)
3. การตรวจค่าธรรมเนี ยมศาล (ดู
มาตรา 149 , 150 ,
ตาราง 1 ท้าย ป.วิ.แพ่ง)

4. การตรวจเรืองเขตอ
านาจศาล
2.
English     Русский Правила